กินตามเวลเนส จัดทำคู่มือฉบับนี้ขึ้นเพื่อให้ท่านที่สนใจในแนวทางอาหารธรรมชาติบำบัด
ตามหลักการเปลี่ยนอาหารให้เป็นยา โดย นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ในการดูแลสุขภาพ
ของท่านและคนที่ท่านรัก รวมถึงเพื่อให้ทุกท่านมีแนวทางที่จะสามารถต่อสู้กับกลุ่มโรค NCDs ได้สำเร็จ...
เพราะการใช้อาหารเป็นยาเป็นวิธีการที่ไม่มีผลข้างเคียงจากการรักษา (ถ้าใช้ยาที่สังเคราะห์จากสารเคมีมารักษา จะมีอันตรายจากยาได้ ) หากเราเข้าใจในหลักการของธรรมชาติสุขภาพของเราก็จะห่างไกลจากโรคร้าย ...
พฤติกรรมการรับประทานอาหารตามหลักธรรมชาติของชาวฮันซาถือเป็นต้นแบบของอาหารที่ผู้เขียนใช้ในการบำบัดกลุ่มโรค NCDs ให้กับตัวเอง แต่มีการประยุกต์เมนูของชาวฮันซา ที่ผู้เขียนไม่คุ้นเคย ให้มาเป็นเมนูที่อร่อย รับประทานได้ทุกมื้อ แต่ยังคงคุณสมบัติในการบำบัดกลุ่มโรค NCDs และเป็นอาหารอายุวัฒนะอีกด้วย ผู้เขียนเรียกรูปแบบอาหารแบบนี้ว่า เวลเนส ฟู้ด (Wellness Food)
เหตุผลของชาวฮันซาในการรับประทานผักสด และผลไม้สดเป็นอาหารหลัก เนื่องจากอยู่ในดินแดนที่ขาดแคลนเชื้อเพลิง...แต่ผลลัพธ์อันมหัศจรรย์ที่ชาวฮันซาได้รับคือ การคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้นานกว่าชนชาติอื่นๆ ที่รับประทานอาหารปรุงสุกเป็นอาหารหลัก...ผลต่อเนื่องที่ตามมาจากการแก่ช้าก็คือ การมีอายุที่ยืนยาว และการไม่เจ็บป่วยตลอดชั่วชีวิต
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า...สิ่งที่ผักสด และผลไม้สดแตกต่างจากเมนูที่ปรุงสุก เพราะมีสารสำคัญ 2 ชนิด ที่ไม่ถูกทำลาย
1.1 วิตามินซี (Vitamin C)
วิตามินซีจะถูกทำลายด้วยความร้อนได้ทั้งหมด ถ้าผักถูกปรุงสุก...ประโยชน์ที่วิตามินซีมีต่อสุขภาพของคนเรา คือ
เอนไซม์เป็นสารประกอบโปรตีน...มีหน้าที่ในการควบคุมกระบวนการทางชีวะเคมีในร่างกายทุกขั้นตอน ในร่างกายคนเรามีเอนไซม์มากกว่า 2,700 ชนิด เพราะคนเรามีร่างกายที่ซับซ้อนกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ...การย่อยอาหาร...การดูดซึมอาหาร...การขจัดสารพิษในร่างกาย...การซ่อมแซมร่างกาย...การสร้างร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์...ต้องใช้เอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และเป็นตัวควบคุม...ถ้าขาดเอนไซม์ กระบวนการต่าง ๆ ที่กล่าวมาจะไม่สามารถดำเนินการได้
ในวัยเด็ก และวัยหนุ่มสาว ร่างกายเราจะสามารถสร้างเอนไซม์ไว้ใช้งานได้อย่างเพียงพอ...ไม่ต้องอาศัยเอนไซม์จากอาหาร...แต่เมื่อคนเราอายุเกินกว่า 25 ปี ร่างกายหยุดเจริญเติบโต การสร้างเอนไซม์ต่าง ๆ จะลดจำนวนลง...เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สภาวะแก่ และเสียชีวิตในที่สุด
ชาวฮันซาโชคดีที่ถูกฝึกให้รับประทานอาหารสดที่ไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนตั้งแต่วัยเด็ก...จึงได้รับประทานอาหารที่มีเอนไซม์สูงตลอดชีวิต...ทำให้การซ่อมแซมร่างกายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก...จึงทำให้เกิดภาวะความเป็นหนุ่มเป็นสาวนานกว่าชนชาติอื่น ๆ
เหตุผลที่ต้องทำให้ผักและผลไม้ละเอียดก่อนการกลืน เพราะการดูดซึมเอนไซม์ ซึ่งเป็นสารประกอบโปรตีนมีความจำเพาะในการดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum) เท่านั้น...ลำไส้ส่วนนี้สั้นมากมีความยาวเพียง 25 เซนติเมตร...ดังนั้น เอนไซม์ในผักผลไม้จะถูกดูดซึมได้ก็ต่อเมื่อผักและผลไม้ต้องถูกทำให้ละเอียดมากพอจนปลดปล่อยเอนไซม์ออกมา ชาวฮันซาเคี้ยวอาหารประเภทผักและผลไม้อย่างละเอียดก่อนการกลืน เพราะมีการดำเนินชีวิตที่ไม่เร่งรีบ...คนไทยเราปัจจุบันมีความเร่งรีบในการรับประทานอาหาร ไม่เคี้ยวให้ละเอียดมากพอ...เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้เขียนจึงปั่นผัก และผลไม้ให้ละเอียดจนสามารถปลดปล่อยเอนไซม์ออกมาให้ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพได้รับประทานก่อนอาหารทุกมื้อ...ปริมาณผักสดและผลไม้ที่รับประทานในแต่ละวัน ควรมีสัดส่วนร้อยละ 50-70 ของปริมาณอาหารประจำวัน
เหตุผลที่ต้องรับประทานผักและผลไม้ก่อนอาหารอื่น ก็เพื่อการดูดซึมเอนไซม์จะทำได้สมบูรณ์กว่าการรับประทานหลังอาหารอื่น
เหตุผลข้อนี้เกิดจากผักและผลไม้แต่ละชนิด มีเอนไซม์ไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายเราต้องการ...ผักและผลไม้แต่ละชนิดจะมีเอนไซม์แตกต่างกัน...ถ้าเรารับประทานหลากหลายชนิดจะทำให้ร่างกายได้รับชนิดของเอนไซม์ครบถ้วน
....ต้องนับเป็นความโชคดีของชาวฮันซาที่ตลอดชีวิตมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องกับหลักธรรมชาติทุกเรื่อง แม้กระทั่งการรับประทานอาหารโปรตีนสูงก็ถูกต้องทั้งชนิด และมีปริมาณที่เหมาะสม...ซึ่งพบได้ยากในชนชาติอื่น ๆ
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า...อาหารที่ให้โปรตีนสูง มีอยู่หลากหลายทั้งจากพืช และจากสัตว์...แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะนำมาเป็นอาหารของคนเราแตกต่างกัน...มีทั้งที่เป็นโทษ และเป็นประโยชน์
เป็นกลุ่มอาหารที่ให้โปรตีนสูงที่เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยอย่างมากในปัจจุบัน ถูกนำมาทำเป็นทั้งขนม...เครื่องดื่ม...อาหารหลากหลายชนิด...และที่เป็นปัญหาอย่างมากคือ วงการแพทย์แผนปัจจุบันยกย่องให้เป็นอาหารที่ให้โปรตีนที่ดีต่อคนเรา
แต่จากความรู้ในการใช้อาหารบำบัดโรคของผู้เขียน...พบว่าโปรตีนจากน้ำนมวัวแตกต่างจากโปรตีนในน้ำนมมนุษย์...โปรตีนในน้ำนมวัวเป็นโปรตีนเคซีน ซึ่งมีสายโมเลกุลยาวมาก ยากที่เอนไซม์ของคนเราจะย่อยได้อย่างสมบูรณ์ จึงเกิดการเน่าเสียในลำไส้เป็นเวลานาน เกิดสารพิษ สารก่อมะเร็งได้จำนวนมาก
โปรตีนในน้ำนมมนุษย์เป็นโปรตีนอัลบูมิน ซึ่งมีสายโมเลกุลสั้น และที่สำคัญคนเรามีเอนไซม์ที่ย่อยได้อย่างสมบูรณ์ จึงไม่เกิดสารพิษ และสารก่อมะเร็งเหมือนโปรตีนจากน้ำนมวัว
ในกลุ่มอาหารประเภทนม ชาวฮันซาโชคดีมากที่ไม่รับประทานนมวัว...แต่รับประทานนมแพะจามรี ซึ่งเป็นแพะภูเขาที่เลี้ยงไว้รับประทานนม ไม่รับประทานเนื้อ...โปรตีนจากนมแพะเป็นอัลบูมิน เหมือนกับน้ำนมมนุษย์...นับเป็นความโชคดีที่ชาวฮันซาได้รับอาหารในกลุ่มนี้ต่างจากชนชาติอื่นๆ
เป็นกลุ่มอาหารโปรตีนสูงที่ได้รับความนิยมรับประทานสูงสุดในทุกชนชาติ...ยกเว้นชาวฮันซา ในกลุ่มนี้ผู้เขียน แบ่งเป็นกลุ่มย่อย 2 กลุ่ม
กลุ่ม A สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม...ในกลุ่มนี้เป็นที่นิยมของคนไทยอย่างมาก ทั้งเนื้อหมู และเนื้อวัว...อันตรายจากโปรตีนของเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เกิดจากสายโมเลกุลโปรตีนยาวมาก...ย่อยยาก เน่านาน...นอกจากนั้นยังเป็นสัตว์สายพันธุ์ใกล้ชิดกับคนเรา จึงมีการติดต่อโรคถึงกันได้ง่าย และรวดเร็ว
กลุ่ม B สัตว์น้ำ และสัตว์ปีก...เช่น ปลา, กุ้ง, ปู, ไก่, เป็ด จะมีอันตรายน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะสายพันธุ์ห่างกัน การติดต่อโรคเกิดได้ยากกว่า และเนื้อจะมีโมเลกุลโปรตีนสายสั้นกว่า ย่อยได้ง่ายกว่า จึงเกิดสารพิษน้อยกว่า
ในกลุ่มเนื้อสัตว์ ชาวฮันซาซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเลี้ยงไก่ไว้กินไข่เป็นอาหาร...เมื่อไก่เสียชีวิต จึงจะนำเนื้อมารับประทาน ซึ่งไม่ได้รับประทานเป็นประจำ...จำนวนจึงไม่มากเกินไป
เป็นกลุ่มอาหารโปรตีนสูงที่คนทั่วโลกนิยมรับประทาน...คนไทยนิยมรับประทานทั้งไข่เป็ด...ไข่ไก่...ไข่นกกระทา
ข้อแนะนำในการรับประทานไข่ ควรรับประทานทั้งไข่ขาว และไข่แดง...ไม่ควรรับประทานแต่ไข่ขาว โดยเอาไข่แดงทิ้งเพราะความกลัวคอเลสเตอรอลในไข่แดง...เพราะถ้าเราดำเนินชีวิตถูกต้องตามหนังสือเล่มนี้ คอเลสเตอรอลในไข่แดง เมื่อเข้าสู่ร่างกายเราจะกลายเป็นไขมันดีคือ เอชดีแอลคอเลสเตอรอล ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ส่วนที่ให้โปรตีนในไข่คือ ส่วนของไข่ขาวเป็นโปรตีนที่ย่อยค่อนข้างง่าย
ในกลุ่มนี้ชาวฮันซารับประทานไข่ไก่ที่เลี้ยงไว้กินไข่ เป็นอาหารโปรตีนสูงที่ปลอดภัย
เป็นอาหารกลุ่มโปรตีนสูงที่เข้ามามีบทบาทในเมนูอาหารของคนไทยมากขึ้น...เพราะแต่เดิมมีเพียงเห็ดตามธรรมชาติ ซึ่งมีปริมาณน้อยมาก ในปัจจุบันมีการเพาะเห็ดจากฟาร์มเห็ด จึงมีปริมาณมากพอที่จะเข้ามาอยู่ในเมนูอาหารกลุ่มอาหารโปรตีนสูงที่มีความสำคัญในการเป็นโปรตีนปลอดภัย
ชาวฮันซาก็มีเมนูอาหารที่ทำจากเห็ดที่ขึ้นตามไหล่เขา เป็นอาหารกลุ่มโปรตีนสูงที่ปลอดภัยอีกกลุ่มหนึ่ง
ปัจจุบันอาหารโปรตีนสูงประเภทนี้เข้ามาอยู่ในเมนูอาหารของคนไทยมากขึ้น...ทั้งในรูปแบบของขนม...เครื่องดื่ม...อาหารคาว
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วมีความหลากหลายมาก ทั้งเต้าหู้ชนิดต่างๆ...โปรตีนเกษตรที่นิยมใส่ในอาหารเจ...ขนมชนิดต่างๆ ที่ทำมาจากส่วนประกอบของถั่ว
ชาวฮันซาได้รับโปรตีนจากถั่วหลากชนิด เป็นโปรตีนหลัก เป็นอาหารหลักของชาวฮันซา ควบคู่ไปกับการรับประทานผักสดและผลไม้สด
1.ควรงดรับประทานอาหารโปรตีนสูง ที่มาจากนมวัว และเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม...รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากอาหารโปรตีนสูงในกลุ่มนี้
2.อาหารโปรตีนสูงที่ปลอดภัย ควรรับประทานรวมกันต่อวันประมาณ 500 กรัม...ไม่ควรรับประทานเกินกว่า 500 กรัม ในผู้ที่อายุเกินกว่า 25 ปี เพราะร่างกายไม่ต้องใช้โปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตแล้ว การใช้โปรตีนเพื่อซ่อมแซมร่างกายจะใช้ปริมาณ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม...อาหารโปรตีนสูงตามที่กล่าวมา 500 กรัม จะให้โปรตีนประมาณ 50-75 กรัม ซึ่งพอเหมาะสำหรับคนไทย ที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 50-70 กิโลกรัม...การรับประทานอาหารโปรตีนสูงมากไปจะทำให้ลำไส้-ตับ-ไต ทำงานหนัก เพราะถึงแม้จะเป็นกลุ่มโปรตีนปลอดภัย แต่ถ้ารับประทานมากเกินไป ก็จะเกิดโทษจากของเสียจำนวนที่มากเกินไปได้...โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะไตเสื่อม จะมีของเสียคั่งค้างในร่างกายจนเกิดอันตรายได้
3.ในผู้ที่มีภาวะต่อไปนี้ ควรลดการรับประทานอาหารโปรตีนสูงลง เหลือประมาณ 300 กรัม ต่อวัน (ในช่วงที่โรคมีอาการรุนแรง อาจใช้วิธีงดรับประทานไปเลย)
4.ในปัจจุบันนี้ มีผลิตภัณฑ์โปรตีนผงขายในท้องตลาดหลายชนิด...ควรใช้เฉพาะผู้ที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต เพราะต้องการโปรตีนมากเป็นพิเศษ และใช้ได้เฉพาะผู้ที่ไตทำงานได้ดี มีค่าเลือดไหลผ่านไต (eGFR) เกินกว่า 100 มิลลิลิตร/นาที/1.73m2
สำหรับผู้ที่มีอายุเกินกว่า 25 ปี ควรใช้โปรตีนเสริมด้วยความระมัดระวัง ควรตรวจวัดค่าเลือดไหลผ่านไต (eGFR) เป็นระยะๆ
อันตรายจากการรับประทานน้ำตาล เป็นที่ยอมรับกันทุกประเทศทั่วโลก...อันตรายจากการรับประทานน้ำตาลเพิ่งจะได้รับการรณรงค์อย่างกว้างขวางในประเทศไทย ในช่วงที่ผู้เขียนเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบำบัดกลุ่มโรค NCDs ให้กับตัวเองเมื่อปี พ.ศ. 2553
เหตุผลสำคัญที่สุดข้อหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนหายจากโรค NCDs ได้อย่างรวดเร็ว เพราะผู้เขียนหยุดรับประทานน้ำตาลอย่างเด็ดขาด...ทุกชนิดของน้ำตาล...ทั้งน้ำตาลจากโรงงานน้ำตาล-จากผลไม้สุก-ผลไม้หวาน-ขนมต่าง ๆเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกชนิด รวมทั้งงดรับประทานแป้งที่ย่อยสลายได้น้ำตาลในเวลาอันรวดเร็วด้วย
ชาวฮันซาโชคดีที่ในวิถีการดำเนินชีวิตห่างไกลจากน้ำตาลทุกรูปแบบ...จะได้รับบ้างก็เป็นน้ำตาลจากผลไม้...แป้งที่รับประทานก็เป็นธัญพืชที่ไม่ขัดขาว ทำให้การย่อยเกิดน้ำตาลเพียงเล็กน้อย
โชคดีเป็นของชาวฮันซาอีกหนึ่งเรื่องที่ขาดแคลนเชื้อเพลิง...เลยทำให้เมนูหลักเป็นผักสดและผลไม้สด...ไม่มีเมนูทอดด้วยน้ำมัน...จึงไม่มีไขมันทรานส์เกิดขึ้นในอาหาร
การทอดอาหารด้วยน้ำมันที่เดือด...จะทำให้โมเลกุลของน้ำในอาหารแตกออกจากความร้อนสูงของน้ำมันที่เดือด...ธาตุไฮโดรเจนจากโมเลกุลของน้ำจะเข้าไปเกาะกับธาตุคาร์บอนที่มีช่องว่างตรงตำแหน่งที่ไม่อิ่มตัวของไขมันไม่อิ่มตัวที่นำมาทอดอาหาร..ทำให้โมเลกุลของไขมันเปลี่ยนเป็นไขมันที่ผิดจากธรรมชาติดั้งเดิม...เกิดเป็นไขมันทรานส์
ชาวฮันซาโชคดีที่ไม่มีอาหารเมนูทอดด้วยน้ำมัน จึงไม่ได้รับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์เลย...ทางออกของคนไทยที่ต้องการผัดหรือทอดอาหารแล้วไม่เกิดไขมันทรานส์ คือการใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดร้อนในการผัดหรือทอดอาหาร...เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวสกัดร้อน เป็นไขมันอิ่มตัวที่ปลอดภัย จึงไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์...ต่างจากน้ำมันไม่อิ่มตัวอื่น ๆ
พฤติกรรมการรับประทานอาหารของชาวฮันซาทั้ง 4 ประการตามที่กล่าวมา ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดียิ่งของชาวฮันซาที่ผู้เขียนได้ยึดถือเป็นแบบอย่าง รวมทั้งพฤติกรรมการดำเนินชีวิตอีก 3 ประการที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้น...ได้ช่วยให้ผู้เขียนกลับมามีสุขภาพดี บำบัดโรค NCDs ที่เป็นอยู่ถึง 6 โรค ให้หายไปภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน
เรียบเรียงโดย.. นพบุญชัย อิศราพิสิษฐ์
ข้อมูลจาก หนังสือคู่มือบำบัดโรค NCDs